
ทริปนี้เรามาเที่ยวสิงคโปร์ ประเทศเล็กๆที่ใช้เวลาไม่กี่วันก็ทั่วทั้งเกาะ แต่ว่าก็จะมีที่ไหนใหม่ๆเกิดขึ้นให้เราได้ไปตามหา และ ถ่ายรูปกัน ส่วนเราทริปนี้เราก็จะไปตามหาสถานที่ฮิปๆ เดินไปเรื่อยๆ ถ้าเหนื่อยก็แวะกินน้ำ ไปเรื่อยๆ มาดูกันว่าจะได้ซักกี่ที่ ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่เดินทางง่ายมาก สำหรับคนที่เริ่มต้นเดินทางนึกไม่ออกว่าจะเริ่มที่ไหนที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ไม่ไกลจากบ้านเราและใช้เวลาเดินทางไม่นานด้วย เราเน้นเดินทางไม่ในเมือง และรอบๆ เพราะไกลเราไม่ไปเรามาคนเดียว T_T
3วันของการมาเที่ยวสิงคโปร์เราว่ามันกำลังดีสำหรับเรานะ การเดินทางทริปนี้เราบินกับสายการบินไลอ้อนแอร์ ที่ขากลับนั้นเกตอยู่สุดทางต้องวิ่งกระหืดกระหอบ เพราะกลัวตกเครื่อง เรามาถึงสิงคโปร์ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ รับกระเป๋า ชอบที่ Lion Air เค้ามีน้ำหนักกระเป๋าให้ 20 กิโล ฟรีๆนี่แหละ เมื่อได้กระเป๋าแล้วเราก็เดินไปที่จุดขึ้น MRT ซื้อตั๋ว นึกขึ้นได้ว่า อ้าว!!!! คราวที่แล้วซื้อบัตรรถไฟใต้ดินไว้นี่นา ใช้ได้ 5 ปีมีเงินเหลือ ลืมเอามา เฮ้อ!!! ต้องซื้อใหม่ จริงๆ ช่างใจอยู่ซักพักว่าจะซื้อแบบเที่ยวหรือจะซื้อเป็นบัตรดี แต่ด้วยความขี้เกียจต้องมาต่อคิวซื้อทีละครั้งก็ต้องตัดใจซื้อแบบบัตร ซึ่งบัตร1 ใบราคา 12 ดอลล่าร์สิงคโปร์ มีเงิน 7 ดอลล่าร์สิงคโปร์ อีก 5 ดอลล่าร์สิงคโปร์ เป็นค่าบัตร คืนบัตรได้ ได้แต่เงินที่เหลือ ค่าบัตรไม่ได้คืน ถ้าใช้หมดค่อยเติมเงินเพิ่มได้เราว่าสะดวกดี
อินเตอร์เน็ต และ โทรศัพท์: ทุกทีเราจะซื้อซิมการ์ดที่ใช้เดินทางต่างประเทศซื้อ Package ตามประเทศ และ ระยะเวลาที่เราต้องการใช้ในประเทศนั้นๆ แต่ options เหล่านี้จะไม่สามารถรับสายหรือโทรออก รวมถึงรับ SMS / OTP ได้ ด้วยความที่เที่ยวก็อยากไป งานก็ทิ้งไม่ได้ มาครั้งนี้เลยลองใช้แพ็คเกจเน็ต กับ dtac call ซึ่งเป็นแอพลิเคชั่นใหม่ที่สามารถใช้งานขณะอยู่ต่างประเทศได้แต่คิดค่าใช้จ่ายตามแพคเกจในเมืองไทยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายแบบว่าอยู่ที่ไหนก็โทรได้ คนที่บ้านเราก็สามารถโทรหาเราได้ตลอดเวลา อีกอย่างคือเราว่าสะดวกดีเพราะไม่ต้องเปลี่ยนซิมไปมา
ซึ่งข้อดีมากๆ ของ dtac call คือ สามารถรับสายฟรี และโทรออกในราคาเดียวกับแพ็คเกจที่อยู่ไทย โทรได้ทั่วโลก รวมถึงรับส่ง SMS / OTP ได้ตลอดเวลา แต่การทำงานทั้งหมดนี้จะทำงานบนสัญญาณอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ที่สำคัญเราสามารถ Add เบอร์ลงในแอปได้สูงสุดถึง 5 เบอร์ และต้องเป็นเบอร์ดีแทคเท่านั้นนะ แต่เบอร์ที่เป็นซิมหลักใส่ในเครื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นเบอร์ดีแทค เป็นค่ายอะไรก็ได้ ซึ่งข้อนี้เราว่าน่าจะตอบโจทย์มากๆสำหรับคนที่ใช้มากกว่าหนึ่งค่าย นั่นหมายความว่า เบอร์ในไทยที่ใช้ติดต่องาน, เรื่องส่วนตัว หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็แค่ Add เข้าไปใน dtac call ให้หมด พอไปต่างประเทศ ไม่ว่าใครจะโทรเข้าเบอร์ไหน ก็ติดต่อเราได้ เราแค่พกไปเครื่องเดียวสวยๆ ☺
ขั้นตอนการสมัครก็ไม่ยุ่งยาก
- ต้องทำการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นชื่อ dtac Call จากนั้นทำการ Register ใส่เบอร์มือถือของเราลงไป (ต้อง Register ด้วยเบอร์ดีแทคในครั้งแรกเท่านั้น หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนไปใส่ซิมหลัก แล้วเบอร์ดีแทคอื่นๆก็แอดลงไปในแอปได้เลย)
- กดขอรหัส OTP เพื่อยืนยันตัวตน แล้วทำการตั้งรหัสผ่าน เพื่อใช้สำหรับ Log in ครั้งต่อไป (กรณีที่เรา Log Out จากแอพพลิเคชั่น) แค่นี้ก็เรียบร้อยลงทะเบียนสำเร็จแล้ว
- จากนั้นไปที่การตั้งค่าของเครื่องโทรศัพท์ ไปที่แอพพลิเคชั่น dtac Call ดูว่า Microphone เปิดรึยัง เพราะถ้ายังไม่เปิดเราจะอีกฝั่งจะไม่ได้ยินเสียงเรา หรือต้องการเชื่มต่อกับ เบอร์โทรที่เราบันทึกไว้ ให้ทำการเปิดไว้นะคะ
แบบนี้นะคะ
การใช้งานของแอพพลิเคชั่น Dtac Call: จะคล้ายกับการโทรเข้าออกของมือถือปกติ เมื่อเข้ามายังแอพ dtac call แล้ว แต่ด้านบนจะมีเบอร์โทรเราโชว์อยู่ มุมขวาล่างจะเป็นรูปการพูดคุยผ่านข้อความซึ่งเราสามารถส่งข้อความไปยังปลายทางได้ เหมือนโทรศัพท์ปกติเลยค่ะ
ในส่วนของสัญญาณ หรือความชัดของการติดต่อนั้นจากที่เราลองส่งข้อความคือปกติ การโทรสัญญาณค่อนข้างชัด ไม่ค่อยกระตุกหรือขาดหายเท่าไหร่ ถือว่าโอเคเลยแหละ
หน้าตาแบบนี้ค่ะ
สำหรับแอป dtac call ก็จะตอบโจทย์มากๆ สำหรับคนที่เดินทางไปต่างประเทศ หรือคนที่ใช้หลายเบอร์ ทำให้ไม่ต้องยุ่งยาก พกแค่เครื่องเดียวก็พอ ส่วนขอดี / ข้อเสีย ก็สรุปได้ประมาณนี้ค่ะ
ข้อดี
- มีหลายเบอร์ ก็พกแค่เครื่องเดียว
- ประหยัดค่าโทรทั่วโลก อยู่ที่ไหนก็ค่าโทรเหมือนอยู่ไทย
- อยู่เมืองนอกก็รับ SMS / OTP ได้
- ลูกค้าสามารถโทรหาเราได้ ทุกคนสามารถโทรหาเราได้ปกติ ทำให้ไม่พลาดเรื่องสำคัญ
ข้อเสีย
- ไม่สามารถใช้แบบ Vdo Call แบบเห็นหน้ากันได้
ลองโทรตอนอยู่สิงคโปร์ จะขึ้นหน้าจอแบบนี้นะคะ
แล้วถ้าลองรับสายดูจะขึ้นตัวหนังสือเล็กๆว่ารับสายจาก Dtac Call ค่ะ เหมือนโทรปกติเลย
ใครใช้เป็นลูกค้าดีแทคอยู่แล้ว เราแนะนำว่าต้องมีนะ ดาวน์โหลดได้ที่
ดาวน์โหลดได้ที่ iOS คลิก https://goo.gl/SStBis
Android คลิก https://goo.gl/pp3UUp
หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dtac.co.th/info/dtac-call.html
ที่พัก: มา 2 คืนแต่จองที่พัก 1 คืนเพราะคิดว่าถ้าที่ที่เราจองไปไม่โอเคจะเปลี่ยนไปนอนที่อื่น ถ้าโอเคก็นอนต่อเราจองที่พักที่ Galaxy Pods ย่าน China Town ห่างจาก MRT China Town ประมาณ 250 เมตร ออกทางออกที่จะไป China Towm Point แล้วข้ามถนนเข้าซอยเล็กๆ ฝั่งตรงข้าม เลี้ยวซ้ายเดินมาอีกหน่อยก็ถึงที่พักเลย หรือ ออกตรง People’s park ก็ได้ ที่พักใกล้จุดขึ้นรถเมล์ เดินทางง่าย ของกินเพียบเลย ราคาประมาณ 800-900 บาท สำหรับห้องเดี่ยว และ 1700 บาท สำหรับห้องคู่ แต่หลังจากลองคืนแรกแล้วโอเค เราเลยจองคืนที่สองต่อเลย จะได้ไม่ต้องย้ายไปมา
ข้อดี
-เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้เรารู้ว่าพักแคปซูลยานวกาศเป็นยังไง
-น่าอยู่ 555 เป็นส่วนตัวดีมีประตูปิดล็อคด้วยระบบอัตโนมัติทำให้รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในห้องพัก จะเข้าออกต้องใช้คีย์การ์ด
-มีอุปกรณ์ค่อนข้างครบ กระจก โต๊ะทำงาน ทีวี หูฟัง ผ้าเช็ดตัว
-มีอาหารเช้าให้ทานด้วย
-เดินทางง่ายใกล้ MRT รถเมล์ ของกินเยอะ
ข้อเสีย
-ถ้าคนตัวใหญ่อาจจะอึดอัดนอนไม่สะดวก ลองจัดห้องใหญ่นอนคนเดียวดู
-เป็นห้องรวมถ้ามีคนเดินขึ้นลงอาจจะได้ยินเสียงเป็นบางครั้ง
-ห้องน้ำรวม สำหรับคนชอบห้องเดี่ยวอาจจะไม่ชอบ แต่โดยรวมโอเค สะอาดอยู่ค่ะ
ที่พักของเราค่ะ โฮสเทลยานอวกาศ
คู่มือเดินทาง:
1. เราใช้ Google Map แล้วปักหมุดสถานที่ที่ต้องการจะไปไว้ แล้วดูว่าที่ไหนอยู่ละแวกเดียวกัน Grouping แล้วออกเดินทางได้ Google map ยังสามารถดูเส้นทางเดิน การขับรถ การขึ้นรถไฟ รถบัส ว่าจะขึ้นสายไหนยังไงด้วย เวลาโดยรวมใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่
2.Gothere.sg เป็นแอพที่ใช้เดินทางในสิงคโปร์แบบคน Local เค้าใช้กัน เพื่อนเราแนะนำมาเพราะเค้ากับแฟนก็ใช้ แอพ Gothere.sg จะมีทั้งเสียตังและไม่เสียตังไปโหลดกันได้ เราโหลด Gothere.sglite มา เป็นแบบไม่เสียตัง ซึ่งสามารถใช้งานได้ค่อนข้างดี แต่ยังไม่ได้ลองโหลดที่ไม่เสียตังใครอยากลองก็ไปลองกันได้
แอพนี้มีบอกทั้ง Map Directions Buses Malls และ Promotions ซึ่งโอเคมากอีกกี่นาทีรถบัสจะมางี้ แล้วถ้านั่งรถบัส เดิน ขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือขับรถ แต่ละอันใช้เวลาในการเดินทางเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายกี่บาทเปรียบเทียบให้ เรียกได้ว่า “เริ่ด”
หน้าตาแบบนี้
แผนที่ MRT สิงคโปร์
เรานั่งรถไฟจากสนามบินมาลงที่ Chinatown เข้าที่พักเพื่อเช็คอินย่านที่เราพักก็มีความคูลไม่เบานะคะ ตึกราบ้านช่องสวย มีความทันสมัย ดีไซน์เก๋ๆถ่ายรูปได้อยู่นะ หลังจากเช็คอินก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่สถานี China Town ทางออก People’s Park คล้ายๆฟู้ดคอร์ส ร้านนี้คนเยอะเราเลยไปลองเป็นเกี๋ยวเตี๋ยวลูกค้าปลา เต้าหู้ อร่อยดี ราคาไม่ค่อยแพงมาก
แล้วออกเดินทางไปเที่ยวที่
Henderson Waves Bridge ซึ่งอยู่ที่ เซาเทิร์น ริดจ์ (The Southern Ridges) ที่นี่เป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่ลัดเลาะไปตามป่าของภูเขาเฟเบอร์(Faber Mount) เป็นระยะทางถึง 9 กิโลเมตร มีไฮไลท์เป็นสะพานรูปเกลียวคลื่นเฮนเดอร์สัน เวฟ(Henderson Waves Bridge)ที่สวยงาม เป็นสะพานคนเดินที่สูงที่สุดของประเทศสิงคโปร์ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่จะทำให้คุณได้เที่ยวในอีกมุมมองหนึ่งนอกจากความเป็นเมืองที่ทันสมัย
Ministry of Communications and Information (MCI) ที่มีสีสันหลากสีสวยงามเป็นที่สะดุดตา ที่ต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอยู่แถวๆย่าน Clarke Quay ตอนนี้เราเข้าสู่ย่าน Calrke Quay แล้วหล่ะ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็เดินไปถ่ายรูปที่ Fort Canning Park อุโมงค์กลมๆยิดฮิต
แล้วกลับมาที่ Clarke Quay ชมวิวรอบๆ แล้วก็แวะกิน Jumbo Seafood ร้านดังของที่นี่ ที่ต้องมาลองซักครั้ง กับปูผัดผงกะหรี่และปูผัดพริกไทยดำตัวเท่าบ้าน แต่อร่อย แต่มากินบ่อยไม่ไหว มันแพง5555
แวะไป suntec city ที่มีลานน้ำพุ Fountain of Wealth น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง เค้าบอกว่าเดินวน 3 รอบ พร้อมเอามือแตะน้ำ แล้วอธิฐานจะสมหวัง ขอไปแล้วเพี๊ยง!!!!
แล้วก็ได้เวลาพบปะเพื่อนฝูง SK ฮีอยู่ที่นี่ เป็นคนที่นี่ มาทุกครั้งก็ต้องแวะมาทักทาย รอบนี้นางบอกให้เราไปเยี่ยมบ้านนางเพราะนางเพิ่งซื้อบ้านใหม่ เป็นห้องชุด เพราะว่านางแต่งงานออกเรือไปเมื่อปีที่แล้ว (ออกเรือนนั่นผู้หญิง) นางเลยชวนมากินข้าวที่บ้านนาง และนี่คือ SK เพื่อนผู้พลัดพราก นางเป็นช่างภาพ และตอนนี้กำลังทำ Air BNB ที่พักสวยดี นางตกแต่งเอง เต็มเร็วมากขนาดจะมาพักยังแทบจะไม่ว่าง พอว่างเราก็ไม่ได้มา ลองไปดูกันนะคะ (ช่วงเพื่อนช่วยเพื่อน)
รายละเอียดตามลิ้งนี้เลย https://abnb.me/996YO0LEFO
เราเม้ากันซักพักก็ 4 ทุ่มกว่าแล้วเราต้องกลับที่พัก พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางต่อ
วันนี้ตื่นสายรู้สึกหิว เมื่อคืน SK บอกว่ามีร้าน Street Food ไก่ หมูกรอบ Michelin Star ร้านดังอยู่ใกล้ที่พัก เพราะว่าแฟนนางทำงานแถวนี้ ราคาไม่แพง แถมคนเต็มร้านเลย ต่อคิวซักพักก็ได้กินแล้ว ชื่อร้าน Hawker Chan ซึ่งเดินจากที่พักเราประมาณ 250 เมตร
เมนูเด็ดคือ ข้าวหน้าไก่ย่าง เรานี่พูดผิดพูดถูกเป็นเป็ดอยู่นั่น กับ บะหมี่ไก่ย่าง มีหมูกรอบด้วยนะคะ ของเราสองจานแบบสวาปามมาก แต่…หมด ร้านนี้เลยค่ะ
หลังอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็เปิด map หาที่เที่ยวซึ่งก็คือ แท่นแท้นแทนนนนนน tiong bahru มาเมื่อหลายปีที่แล้วตอนนั้นรูปไม่มีเลยมาถ่ายใหม่ ร้านฮอตๆก็จะเป็น tiong bahru bakery, PS cafe, plain vanila แต่ก็มีร้านใหม่ๆเกิดขึ้นเยอะ
คัพเค้กที่ Plain Vanila นี่ แพงใช้ได้จริงๆ
ไอติมสตอเบอรี่อร่อยดี
มีตลาด tiong bahru ใกล้ๆด้วยคล้ายตลาดนัดบ้านเราที่ขายผลไม้ ดอกไม้ เนื้อสด ทำนองนี้ เลยถ่ายแต่รูปดอกไม้มา เกรงใจหมูที่แผงป้าๆเค้า
ต่อด้วยการนั่งรถไป Lasalle college of the art ซึ่งนั่งรถไปแถว Newton แต่โรงเรียนกว้างเดินหาไม่เจอ คอตกกลับมาเลยไม่หาละ ร้อนก็ร้อน เลยนั่งรถกลับมาที่
Duo Tower ตึกทรงแปลกและสวยดี แวะมาถ่ายรูป
แล้วก็นั่งรถไป Haji Lane ย่านฮิปของคนฮิป แวะจิบชา ดื่มน้ำ กินไอติม ตามข้างทาง
น้ำร้านนี้ก็โอเค เพื่อนบอกชอบมานั่งร้านนี้ Going home
แล้วเราก็เดินไป Bugis Street จะขึ้นรถบัสเพราะขี้เกียจเดิน เดินอ้อมไปขึ้นแล้ว คนขับบอกว่าอยู่ตรงนี้เองเดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องขึ้นหรอก ประหยัดเงิน ฮาาาาาาา ลงเดินต่อจ้า
ไหนๆก็เดินแล้วเราก็เลยเดินต่อไปยัง Singapore life church
ที่พีคคือ ฝั่งตรงข้ามโบสถ์เป็น Lasalle college of the art อีกสาขาหนึ่ง แต่…เหมือนในรูปเป๊ะ อ้าวเห้ย!!!!อยู่นี่เองไปซะตั้งไกล นิ่มเอ้ยยยยย
ความพยายามยังไม่หมด นั่งรถไปกินข้าวเย็นที่ Hungry heros เพื่อไปกินเบอเกอร์ชิ้นละ 25 ดอลล่าร์สิงคโปร์ แล้วกินไม่หมด ต้องห่อกลับมาเพราะว่ากินทั้งวันแล้วจะให้ผอมได้อย่างไรกัน ร้านนี้น่ารักดี รวบรวมเหล่ายอดมนุษย์มาตกแต่งร้าน เปิดตอนเย็น นั่งกินข้าวได้ กินเบียร์ก็ดี ดูบอลก็เจ๋ง
กลับที่พักดึกดื่นขาอ่อนล้าเหลือเกิน ร้านนวดๆๆๆๆๆๆ คิดถึง
วันสุดท้ายที่สิงคโปร์กินบักกุดเต๋ ใกล้ที่พัก เอาแรงก่อนออกเดินทาง
ไปเดินเล่นช้อปปิ้ง ชมวิว แถว Marina bay sand
แล้วแวะไป Art Science Museum ไปตากแอร์ว่าง่ายๆ555
Red dot design museum ที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความที่อยากช้อปปิ้งแต่เวลาไม่ค่อยมีเพราะต้องรีบไปสนามบิน เลยพุ่งตัวไป Orchard ดูของแบบรีบๆ โอ๊ยยย จะตกเครื่องมั๊ย อะไรก็อยากดู มีความรู้สึกว่า 3 วันมันไม่พอก็ตอนนี้แหละ
ก่อนกลับเราแวะ Library Orchard ห้องสมุดเก๋ๆที่มีมุมถ่ายรูปดีๆ
แล้วก็อย่าลืมไปลองชานมไข่มุก Tiger Sugar กันนะคะ อยู่ที่ Capitol Piazza คนต่อคิวยาวเป็นหางว่าวเลยค่ะ แต่อร่อยดีเราชอบ มันหอมๆ นมๆ ครีมๆ อยากกินอีก
เก็บของไปสนามบิน เกือบไม่ทันจบทริปแบบไม่อยากให้จบ เพราะยังอยากอยู่ต่อ ใครว่าสิงคโปร์เที่ยวแปปเดียวก็ทั่ว บางทีเราก็ว่ามันไม่ทั่วนะ 5555555
“แต่เราก็จะมาอีก”
Follow Me>>
Facebook: https://www.facebook.com/atravelerblog/
YouTube: http://bit.ly/2m79day
IG: https://www.instagram.com/a_traveler_blog/
Twitter: https://twitter.com/A_Traveler_Blog
Website: http://atravelerblogs.com