ขอวีซ่ายังไงให้ผ่าน เตรียมตัว เตรียมเอกสารอย่างไร พร้อมขั้นตอนและแผนเดินทางอเมริกา 17 วัน (อเมริกา, แชงเก้น, อังกฤษ)

Update!!! การขอวีซ่าอเมิริกาช่วงโควิด ยังขอได้นะคะ ข้อมูลเพิ่มเติม: https://th.usembassy.gov/th/visas-th/

ส่วนใครที่วีซ่าใกล้จะหมดอายุหรือหมดอายุแล้ว การต่ออายุวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) หรือ C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) ที่ยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุแล้วไม่เกิน 48 เดือน (สี่ปี) นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สำหรับวีซ่าประเภทอื่นๆ กรุณาจองนัด สัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ  ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-visarenew.asp

จะว่าไปตอนนี้ตั๋วโปรโมชั่นบินไปต่างประเทศหลักหมื่นต้นๆมีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เราๆก็แทบจะขายทรัพย์สมบัติไปเที่ยวกันเลยทีเดียว ก็จะไม่ให้หูตาลุกวาวได้ยังไง ไปเมกา แอฟริกาใต้ 15xxx บาท ยุโรป ไม่ถึงหมื่นก็มีมาให้เห็น คือออกมาแบบไม่สงสารเงินในกระเป๋ากันบ้างเลย

การจองตั๋วบางทีอาจจะไม่ได้เป็นประเด็นหลักสำหรับนักเดินทางหลายคน แต่ประเด็นหลักคือการขอวีซ่า ที่ว่าขอไปแล้วนั้นวีซ่าจะผ่านหรือไม่ เพราะถ้าจองไปแล้ววีซ่าไม่ผ่านอาจจะต้องทิ้งตั๋วกันเลยทีเดียว หรือ หลายคนเลือกจองผ่าน Agency ที่ยังไม่ต้องจ่ายตัง รอวีซ่าผ่านก่อนแล้วค่อยมาจ่ายตังทีหลัง

สำหรับเราการขอวีซ่าคือการขอเข้าประเทศเค้า ฉะนั้นเราต้องทำยังไงก็ได้ให้เค้ามั่นใจว่าเราจะไม่หนี หรือเป็นโรบินฮู้ด หายวับเมื่อเข้าประเทศได้แล้ว  ขอแชร์ประสบการณ์จากการไปขอแชงเก้นมา 4 ครั้ง อังกฤษ 1 ครั้ง และ อเมริกา 1 ครั้ง และ ช่วยเพื่อนพ้องน้องพี่ขออีกหลายครั้ง ขอสรุปเป็นประเด็นดังนี้ค่ะ

ไม่เคยเดินทางต่างประเทศเลยขอวีซ่าจะได้มั๊ย

จริงๆ เราว่าเค้าดูองค์ประกอบโดยรวม เช่น หน้าที่การงาน รายได้ ความมั่นคงของงาน ดูแนวโน้มในการจะกลับมา ถ้าเพิ่งไปครั้งแรกเค้าก็ต้องคิดว่าทำไมถึงเลือกไปที่นี่ เพราะไม่เคยไปไหนมาเลย เราต้องทำให้เค้ามั่นใจในตัวเราเหมือนไปสมัครงานเราจะทำยังไงให้เค้ารับเราเข้าทำงาน เราอาจจะทำหนังสือแนะนำตัวแนบไปว่าที่เราจะไปเพราะอะไร และ เราจะกลับมาเพราะอะไร เช่นเรียนอยู่ มีพ่อแม่อยู่ที่นี่ มีภาระอยู่ที่นี่ บลาๆๆๆ

ตัวอย่างจดหมายแนะนำตัวค่ะ

ตอนกรอกข้อมูลในระบบนั้นสำคัญ 

เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเราควรกรอกข้อมูลที่เป็นจริง และ ใส่รายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ 

ตอนเราขอวีซ่าอเมริกา มันจะมีช่องให้อธิบายลักษณะของงาน เราไม่ได้ใส่เฉพาะงานปัจจุบันที่เราทำอยู่ เราใส่ข้อมูลทุกอย่างที่เรากำลังทำอยู่ ณ ปัจจุบันให้เค้ารู้ เช่น เราทำงานที่ A และ เราทำงานเสริม B ด้วย และเราก็เรียนด้วย อธิบายเพิ่มไปว่าลักษณะงานเป็นแบบไหน แต่ละที่ทำมากี่ปี เคยไปเที่ยวที่ไหนมาแล้วบ้าง และ อยากไปเที่ยวเพราะอะไร เนื่องจากบางครั้งถ้าเกิดเราใส่อายุงานแค่ปัจจุบันสำหรับบางคนมันอาจจะน้อยไป หรือ ทำยังไม่ถึงปี ยกตัวอย่างเคสที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ของพนักงานประจำ

“หลานสาวของเรา เพิ่งไปขอวีซ่าอเมริกามา เคยไปเที่ยวแค่จีน กับ ฮ่องกง เท่านั้น เพิ่งเปลี่ยนงานทำที่ปัจจุบันได้เพียง 8 เดือน เป็นบริษัทเอกชนรายได้ ไม่ถึง 15,000 บาทต่อเดือน เราให้นางกรอกข้อมูลในระบบให้มากที่สุดและเป็นจริงมากที่สุด เพราะเราว่าถ้าใส่ อายุงานแค่ 8 เดือนไม่ผ่านแน่นอน มีแนวโน้มอาจจะเป็นโรบินฮู้ดได้ เราเลยให้นางอธิบายเพิ่มไปว่าก่อนหน้านี้ทำงานที่ไหน กี่ปี ลักษณะงานทำอะไร รายได้เท่าไหร่ แล้วไปขอหนังสือรับรองจากที่ทำงานเดิมมาด้วย เคยไปที่ไหนมาบ้าง และ ถามนางเพิ่มเติมว่า มีอะไรที่ยังทำอยู่อีกมั๊ย คือนางเรียนต่อ (บัตรนิสิตเอาติดตัวไปด้วย) ฉะนั้นให้ใส่ไปเพิ่มว่ากำลังเรียนอยู่ เพื่อข้อมูลจะได้แน่น และ เพื่อให้เค้ามั่นใจในตัวเรามากขึ้น 

วันสัมภาษณ์ (นางไปขอวีซ่าคนเดียว) นางมาเล่าให้ฟังว่าเค้าถามเลยว่าจะกลับมาเรียนต่อมั๊ย และ ขอดูหนังสือรับรองที่ทำงานเดิม ไปเที่ยวที่ไหน แล้วไปกับใคร นางบอกไปกับเราแต่เรามีวีซ่าแล้ว แล้วนางก็ได้วีซ่ามา ดีใจกับนาง”

อีกเคสเพื่อนเราทำงานธนาคาร A มาซักพักน่าจะประมาณ 3-4 ปี และย้ายมาทำบริษัท B ได้ 8 เดิน นางไปมาหลายประเทศ ได้แชงเก้นมาหลายรอบ นางมาบอกเราว่า นางมีแผนจะเดินทางไปอเมริกา นางจึงไปขอวีซ่าแบบเดินทางคนเดียว เราคิดว่านางต้องผ่านแน่ๆ เพราะหน้าที่การงาน ความมั่นคง รายได้ ค่อนข้างดี แต่ปรากฏว่านางไม่ผ่าน เลยมานั่งคิดกันว่า อาจจะเป็นที่อายุงานที่ใหม่น้อยไป เพราะนางไม่ได้ใส่ข้อมูลที่ทำงานเดิมไปเลย ใส่แค่ข้อมูลปัจจุบัน อาจจะทำให้เค้าคิดว่าเพิ่งเริ่มทำงาน หรือ มีแนวโน้มจะเป็นโรบินฮู้ดก็เป็นได้ 

“บางทีก็เดายาก บางทีก็ขึ้นกับดวงล้วนๆ”

ต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่

จริงๆยิ่งเยอะยิ่งดี มีมากเท่าไหร่ใส่ไปเลยค่ะ แต่ถ้ามีน้อยขั้นต่ำเราว่าแสนขึ้นไปก็ถือว่าโอเค แล้วห้าหมื่นได้มั๊ย จริงๆถามว่าได้มั๊ยก็ได้นะ ให้มันพอ Cover กับแผนเดินทางของเรา เค้าจะได้ดูว่าเรามีเงินที่จะใช้จ่ายเพียงพอในการเดินทางครั้งนี้ เช่นเราวางแผนว่าจะไป 7 วันใช้เงิน 50000 บาท ในบัญชีก็ควรจะมีเงินไม่ตำ่กว่า 50,000 บาทนะคะ

พนักงานบริษัทจะมีเงินเดือนที่เข้าตามวันที่ของบริษัทนั้นๆแจ้ง ซึ่งสามารถตรวจสอบยอดได้กับสลิปเงินเดือน 

แต่เจ้าของกิจการ การเดินบัญชีนั้นเราแนะนำว่าควรจะเป็นการทะยอยเอาเงินเข้า เพื่อให้เห็นว่าธุรกิจมีการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวเลย อยู่ๆจะไปขอวีซ่าเอาเงินมาใส่ตูมเดียวมันก็แปลกๆ มันดูย้อนแย้งกับความเป็นจริง แสดงว่าธุรกิจคุณดูแล้วไม่น่าจะโอเค ไปเอาเงินที่ไหนมาใส่ อีกอย่างเวลาเอาเงินเข้าแล้วจะถอนออก ไม่ควรถอนออกทีเดียว เช่น เอาเข้า 50,000 ถอน 50,000 เลยไม่ควร ควรจะทะยอยถอนออกเพื่อให้บัญชีสวยงาม 555 อันนี้เราใช้หลักการของการขอสินเชื่อที่ธนาคารมา  (นิ่มอันนี้ขอวีซ่าไม่ได้จะไปขอสินเชื่อกับธนาคารค่ะ เออๆๆลืมๆๆ) ควรเดินบัญชีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นถึงสภาพคล่องของธรุกิจเรา (หลายท่านที่ทำธุรกิจน่าจะคุ้นชินกับวิธีนี้ดี)

ถ้าแนบทวิ 50 ไปด้วยจะดีมาก แสดงถึงรายได้ที่ยื่นเสียภาษีของกิจการไปเลย

ฟรีแลนซ์ถ้าจดทะเบียนบริษัทสามารถใช้การเดินบัญชีแบบเจ้าของกิจการได้ แต่ถ้าไม่ได้จดะเบียนบริษัท อาจจะใช้เป็นเอกสารรับรองว่าเงินนั้นได้มาอย่างไร เช่น เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่าย เวลาเราได้เงินจากนายจ้าง หรือ จากช่องทางอินเตอร์เน็ตๆ ปริ้นหรือซีร๊อกย้อนหลัง 3-6 เดือนตามที่เค้าต้องการ ถ้ามีทวิ 50 ด้วยจะดีมากเป็นการแสดงรายได้ที่ชัดเจนของเรา

“ขอวีซ่าเป็นแบบไหนดี ท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ หรือไปหาแฟน แล้วถ้ามีญาติอยู่ที่นู่นไปพักกับญาติกับแฟน จะบอกว่าไงดี”

เรื่องการขอวีซ่าเราว่าท่องเที่ยวแลดูจะง่ายสุดเพราะไม่มีประเด็นในการถามมากนัก แต่ถ้าขอเป็นเยี่ยมญาติ ไปพักกับแฟน จะมีเรื่องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ยิ่งคนรู้จักที่เป็นฝรั่งอาจจะถูกถามเยอะหน่อย เช่น รู้จักกันได้ยังไง ไปนานแค่ไหนกี่วัน เค้าทำงานอะไร บลาๆๆๆ และมีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธสูงโดยเฉพาะทางฝั่งอเมริกา ถ้าเป็นทางฝั่งยุโรปยังมีสิทธิ์ลุ้นมากกว่าโดยให้เค้าออกจดหมายเรียนเราไปพักด้วยแล้วแนบไปพร้อมกับการขอวีซ่า เนื่องจากเราขอวีซ่าเป็นท่องเที่ยว ฉะนั้นควรจะดำเนินการจองที่พัก หาตั๋วเอง ซึ่งเราคิดว่าขอแบบท่องเที่ยว จองที่พักเสมือนว่าไปพักเองง่ายกว่า ได้วีซ่าแล้วค่อยยกเลิกทีหลังก็ได้ อีกอย่างเค้าจะดูด้วยว่าญาติของเราที่อยู่ที่นู่นไปแบบถูกกฏหมายรึเปล่า ญาติสนิทมั๊ย เค้าจะดูเป็นเคสๆไป แต่ถ้าให้เราแนะนำ ท่องเที่ยวโลดค่ะ

ตอนสัมภาษณ์ต้องมีความมั่นใจ” 

เราต้องมั่นใจ และ ตอบฉะฉานไม่วอกแวก หรือลน และที่สำคัญตอบข้อมูลให้ตรงตามที่กรอกรายละเอียดในการขอวีซ่าไปนะคะ ไม่ใช่ว่ากรอกไปอย่างตอบอีกอย่าง อาจจะมีผลต่อการอนุมัติได้ จริงๆแล้วเราว่าเค้าพิจารณามาก่อนแล้วระดับหนึ่งตอนที่เรากรอกวีซ่าเข้ามา แล้วตอนมายื่นเค้าก็สอบถามเพิ่มเติมเพื่อ Check ความถูกต้องอีกที

หลานสาวเราตอนไปขอวีซ่าอเมริกาใส่จะไป LA ตอนไปสัมภาษณ์บอกจะไป NY จนเค้าถามว่าสรุปจะไปที่ไหนกันแน่ ยังโชคดีที่ผ่านมาได้ เป็นบุญแท้ๆ 

“แล้วถ้าเป็นแชงเก้น จะไปขอต้องยื่นเชงเก้นประเทศไหนดี”

หลัการง่ายๆ คือ

1 อยู่ประเทศไหนนานสุดให้ขอที่ประเทศนั้นเช่น ไป เยอรมัน 4 วัน อิตาลี่ 3 วัน ขอที่เยอรมันเลยค่ะ

2 ถ้าอยู่ทั้งสองประเทศเป็นระยะเวลานานเท่ากันหล่ะ >>>ยื่นประเทศที่ไปถึงประเทศแรกเลย เช่น เยอรมัน 4 วัน อิตาลี 4 วัน บินไปลงที่ไหนประเทศแรกเปิดดูตั๋ว “อิตาลี” พุ่งตัวไปขอที่อิตาลี่โลดค่ะ

เอกสารการขอวีซ่าหลักๆที่ต้องใช้ น่าจะประมาณนี้

1. หนังสือเดินทางฉบับจริง โดยตรวจสอบว่า มีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า, หนังสือเดินทางออกมาไม่เกิน 10 ปี, ยังมีอายุการใช้งานเหลืออย่างน้อย     3 เดือนนับจากวันที่เดินทางออกนอกประเทศสมาชิกแชงเก้น (หากมีหนังสือเดินทางเล่มเดิมเอามาด้วยนะคะ) และ อย่าลืมถ่ายหน้าแรกของหนังสือเดินทางที่มีข้อมูลของเราด้วยนะคะจำนวน 1 ใบ

2. รูปถ่ายแบบไบโอเมตริก 2 ใบ ขนาด (ตอนไปถ่ายรูปหน้าใหญ่มาก เต็มจอเลย ร้านถ่ายรูปบอกว่าเค้าวัดจากคางถึงหัวต้องได้ 35mm อันนี้สำหรับผู้หญิงว่าถ้าไม่อยากให้หน้าใหญ่จนเกินไปตอนถ่ายรูปตีโป่งไปเลยค่ะ หน้าจะได้เล็กลงหน่อยไม่บานเต็มจอเหมือนเรา) อย่าลืมเวลาไปถ่ายรูป ปปริ้นท์ตัวอย่างจากเวปไซท์ของสถานทูตไปให้ร้านดูด้วย เพราะว่าบางร้านก็ไม่รู้ว่า ถ่ายแบบไบโอเมตริกเป็นแบบไหน คืออะไร โดยรูป

ใบที่ 1 ติดกับ ใบสมัครการขอวีซ่า

ใบที่ 2 เขียน ชื่อ นามสกุล ภาษาอังกฤษ และ หมายเลข pass port ด้านหลังภาพด้วยนะคะและเก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่ตอนสัมภาษณ์ 

เวลาไปถ่ายรูป แนะนำให้ปริ้นท์ตัวอย่างจากเวปไซท์ของสถานทูตไปให้ร้านดูด้วย เพราะว่าบางร้านก็ไม่รู้ว่า ถ่ายแบบไบโอเมตริก หรือ ใครไม่ชัวร์ที่สถานทูตมีบริการรับถ่ายรูปค่ะ

3. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าของแต่ละที่

5. หลักฐานยืนยันการจองที่พัก/เที่ยวบินและอื่นๆ จากบริษัทนำเที่ยวและโรงแรม ตลอดระยะเวลาที่ขอพำนัก

-ใบจองตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ เนื่องจากตอนนั้นเราจองผ่าน Expedia ต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะได้ใบเสร็จ เลยใช้เป็นใบเสร็จที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าใครจะใช้ใบจองตั๋วเครื่องบิน และ ถ้าวีซ่าผ่านค่อยข่ายเงินทีหลังก็ได้ค่ะ 

-ใบจองที่พัก เน้นย้ำว่าโรงแรมต้องมีครบทุกคืนนะคะ ใช้เป็นใบจองที่พัก หรือ ใบเสร็จที่จ่ายเงินแล้วก็ได้ค่ะ (เราจองผ่าน Booking.com ค่ะ โดยเลือกที่พักที่สามารถ Cancel ได้โดยไม่เสียเงินได้ เผื่อจะเปลี่ยนโรงแรม) และ คืนสุดท้ายเราไม่ได้จองที่พักค่ะ เพราะเราเดินทางโดยรถไฟตอนกลางคืน เลยแนบตั๋วรถไฟที่จองแล้วไปเลย ตรงน้ีถ้ามีที่พักเอาที่พัก แต่ถ้าไม่มีที่พักนอนบนรถไฟ หรือ บินข้ามคืนก็เอาตั๋วเครื่องบินค่ะ 

6. สำหรับพนักงาน/ลูกจ้าง ใช้เอกสาร หนังสือรับรองการทำงานปัจจุบัน (ที่ระบุตำแหน่ง จำนวนปีการทำงานและเงินเดือน) และ หนังสืออนุญาตให้ลาพักร้อน ลากี่วัน 

ถ้าหากว่าอายุงานยังไม่ถึงปี แต่ก่อนหน้านี้เคยทำที่อื่นมาก่อน ให้ขอหนังสือรับรองการทำงานจากที่เดิมมาแล้วแนบไปด้วย

7. หลักฐานการเงินสำหรับการเดินทางและการพำนัก ได้แก่

-หนังสือรับรองจากธนาคาร (เวลาไปธนาคารเตรียมสมุดบัญชีกับบัตรประชาชนไปด้วย แล้วบอกพนักงานว่าขอหนังสือรับรองฐานะการเงินหรือ Bank Guarantee อันนี้ธนาคารจะคิดเงินค่าออก 100 บาท ขึ้นกับธนาคารนะคะ โดยเราให้เค้าออกเป็นเงินตามประเทศที่เราจะไป 

-สมุดบัญชีเงินฝากที่แสดงการเคลื่อนไหวทางด้านการเงินย้อนหลัง 3 เดือนสุดท้าย (Statement) ข้อนี้ถ้าใครปรับสมุดบัญชีที่ตู้ธนาคารตลอดสามารถถ่ายเอกสาร แล้วให้สาขารับรองให้ได้นะคะ ไม่ต้องเสียเงินไปขอใหม่ แต่ถ้าใครไม่ได้ปรับสมุดบัญชีตลอดก็ไปขอที่ธนาคารได้ค่ะ ประมาณ 100-200 บาท (ใช้บัญชีที่มีเงินหมุนเวียนบ่อยๆ มีเงินเข้าออกตลอด เป็นบัญชีหลักของเรา ถ้าใครมีหลายบัญชีก็สามารถแนบหลายบัญชีได้ค่ะ) และ อย่าลืมเตรียมสมุดตัวจริงไปด้วยนะคะ 

ในกรณีที่เราให้บุคคลอื่นเป็น Sponsor ให้เตรียมเอกสารเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ (ของคนที่เป็นสปอนเซอร์เรานะคะ)

-สำเนาบัตรประชาชน และ ทะเบียนบ้าน

– จดหมายรับรองการทำงาน (เป็นภาษาอังกฤษ) หรือทะเบียนการค้า

– Statement ย้อนหลัง 6 เดือน และ หนังสือรับรองฐานะการเงิน (Bank Guarantee)

-จดหมายรับรองการเป็นสปอนเซอร์ (Sponsor letter) เป็นภาษาอังกฤษ

8. หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงถึงความพร้อมที่จะเดินทางกลับประเทศและแสดงถึงภาระผูกพันหรือ ความสัมพันธ์ของท่านในประเทศไทย 

-ใบสำคัญการสมรส

-สูติบัตรของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติ ภาวะ

-สำเนาทะเบียนบ้าน (เราถ่ายสำเนาบัตรประชาชนไปด้วยแหละ ได้ใช้ด้วยนะ)

-หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท (กรณีประกอบ อาชีพอิสระหรือเป็นเจ้าของธุรกิจ)

-หนังสือรับรองจากโรงเรียนหรือสถาบันศึกษา

-โฉนดที่ดิน

-สัญญาเช่าบ้าน

9. สำหรับผู้เดินทางสัญชาติไทยที่อายุต่ำกว่า18 ปี ผู้มีอำนาจปกครองตามกฎหมาย (โดยปกติคือบิดา-มารดา) ต้องมาปรากฎตัวพร้อมกันในวันยื่นคำร้อง และเซ็นชื่อในคำร้องหากผู้มีอำนาจปกครอง หรือ บิดา-มารดา ไม่สามารถมาได้ ผู้เดินทางสามารถยื่นคำร้องที่ผู้มีอำนาจปกครองเซ็นชื่อไว้แล้ว พร้อม หนังสือยินยอม โดยลายเซ็นของผู้ปกครองหรือบิดา-มารดา ในหนังสือยินยอมนั้น จะต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานเขตหรืออำเภอที่สังกัด กรณีบิดา-มารดาพำนักอยู่ในเยอรมนีต้องมีการรับรอง ลายเซ็นจากหน่วยราชการของเยอรมนี กรณีบิดาหรือมารดาเพียงฝ่ายเดียวทำหนังสือยินยอมต้อง แสดงหลักฐานว่าบิดาหรือมารดาผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวจริง

10. แผนการเดินทางตลอดระยะเวลาที่พำนัก (เราทำค่อนข้างละเอียด ไปที่ไหน ขึ้นรถลงเรือสถานีอะไร กะทำทีเดียว) 

Link Download แผนเดินทาง: https://drive.google.com/file/d/0B8cLhH3UNuhob1BKT1ZmRjR6bDg/view?usp=sharing

หมายเหตุ :เอกสารที่เป็นสำเนา เช่น สมุดเงินฝาก สัญญาต่างๆ ต้องนำตัวจริงไปด้วย และที่สำคัญ หนังสือเดินทาง ให้นำตัวจริงไปทุกเล่ม

11. หลักฐานการประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ ระหว่างการเดินทางตลอดระยะเวลาที่ขอพำนัก วงเงินความคุ้มครองไม่ตํ่ากว่า 30,000.- เหรียญยูโร และต้องรวมบริการนำตัวกลับประเทศในกรณีเจ็บป่วยด้วย ของอังกฤษไม่ต่ำกว่า 40,000 เหรียญ ส่วนอเมริกาไม่ได้บอกไว้แต่เราซื้อไปตอนได้วีซ่าแล้วเพื่อความสบายใจ (ตรวจสอบจากเวปของสถานทูตอีกทีค่ะ) 

ทำไมเราต้องซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ “ก็เค้าบังคับอ่ะ”

แล้วซื้อวงเงินเท่าไหร่กัน “ก็ขั้นต่ำตามที่เค้าบอกแหละค่ะ เอาให้ขอวีซ่าได้เป็นพอ” 555 เราซื้อแบบนี้แหละ ซื้อของอะไรก็ได้ไม่เลือก อันไหนถูกก็เอาอันนั้น แต่หลังจากที่เดินทางบ่อยๆ เราก็พบว่าการซื้อแค่เพื่อยื่นขอวีซ่าอย่างเดียวคงไม่พอแล้ว เพราะประกันเดินทางนั้นให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด จริงๆมันก็เหมือนกับการซื้อประกันสุขภาพ ที่หากเกิดป่วยขึ้นมา ประกันก็จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแทนเราตามที่ระบุในกรมธรรม์ ซึ่งมันครอบคลุมหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

– การเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเนื่องจากอุบัติเหตุ

– การรักษาพยาบาล เนื่องจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย

– การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน และการเคลื่อนย้ายกลับประเทศไทย

  • ความรับผิดตามกฏหมายต่อบุคคลภายนอก และ อื่นๆอีกมากมาย

ซึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรามันจะไม่คุ้มรึเปล่า ไม่ได้เป็นการแช่งตัวเองนะ แต่คนเราบางครั้งถ้ายังไม่เจอกับตัวเราก็จะไม่รู้ว่ามันดี และ สำคัญจริงๆ 

ที่เราเปลี่ยนความคิดมาเป็นแบบนี้เพราะเราเจอเคสที่เกิดขึ้นในชีวิตเราคือแต่อันนี้ไม่ได้เป็นประกันเดินทาง แต่เป็นประกันอุบัติเหตุ คือเราเป็นคนที่แอนตี้เรื่องประกันเพราะว่าโดนเซลล์โทรมาขายบ่อยๆ วันหนึ่งเราก็เลยใจอ่อนซื้อก็ได้วะ เลยซื้อให้พ่อเป็นเบี้ยที่จ่ายทิ้งไม่ได้สะสมทรัพย์ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะใช้ค่าเบี้ยมันแค่ 2000 กว่าบาทเองต่อปี จนวันหนึ่งพ่อโดนหนามทิ่มเท้าแล้วผ่านไป 2-3วัน เท้าบวมมาก จนต้องไปโรงพยาบาลหมอบอกว่าต้องผ่าตัดด่วน ถ้ามาช้ากว่านี้พ่อจะต้องตัดขาทิ้ง นอนไป 2คืน หมดไป 60,000 กว่าบาท โชคดีที่เป็นอุบัติเหตุเค้าคุ้มครองให้ 50,000 บาท ต่อครั้ง และมีประกันอุบัติเหตุอีกอันสรุปเราจ่ายไป 5,000กว่าบาท ตั้งแต่นั้นมาเราเลยให้ความสำคัญกับประกัน (ยังคงจำเรื่องนี้แม่น) 

อีกเรื่องที่จำแม่นไม่แพ้กันคือเราเป็นโรคกลัวเรื่องบินตกหลุมอากาศ ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิดแต่เพิ่งมาเป็นเมื่อ 3-4 ปีนี้เพราะเราบินจากฮ่องกงกลับไทย แล้วเครื่องบินตกหลุมอากาศแรงมาก หลายครั้ง จนเราคิดว่าเราต้องตายแน่ๆ ที่สำคัญวันนั้นพ่อไปด้วย เรารู้ว่าพ่อใจดีสู้เสือไม่ตื่นเต้นมากนัก แต่หลังจากกลับมาถึงบ้าน แล้วเราชวนพ่อไปเที่ยวอีกพ่อไม่ไปอีกเลยบอกว่าไม่อยากนั่งเครื่องบิน 555 มันคืออะไร ถามว่าเรายังกลัวมั๊ย “กลัว” แต่ด้วยความชอบเราก็พยายามทำในสิ่งที่เราชอบให้ดีที่สุด อะไรที่ทำได้และมันไม่มากไปเราก็จะทำ มันไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเองทั้งนั้น เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง ตั้งแต่นั้นมามันทำให้เราใส่ใจกับประกันเดินทางมากขึ้น

อีกเรื่องเป็นเรื่องราวของคู่รักไต้หวันที่ไปปีนเขาเนปาล แล้วหลงป่าไปเจอทางตันเป็นปลายทางของน้ำตกแล้วปีนกลับขึ้นมาไม่ได้ ไปอยู่ตรงช่องเขา ข้างหนึ่งที่ลึกลงไป 100 เมตร อีกข้างเป็นผาสูง เป็นสภาพเหมือนติดกับนาน 47 วัน แม้แต่กางเต๊นท์กับพื้นก็ทำไม่ได้ สุดท้ายแฟนสาวไม่รอด 

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_323078

รีวิวการขอวีซ่าอันนี้ละเอียดดีทำตามขั้นตอนเลยนะคะ

https://shipy-ship.com/2019/10/04/us-visa/

สู้ๆ แล้วไปเที่ยวกันนะคะ

Follow Me >>>

Facebook: https://www.facebook.com/atravelerblog/

YouTube: http://bit.ly/2m79day

IG: https://www.instagram.com/a_traveler_blog/

Twitter: https://twitter.com/A_Traveler_Blog

Website: http://atravelerblogs.com

One thought on “ขอวีซ่ายังไงให้ผ่าน เตรียมตัว เตรียมเอกสารอย่างไร พร้อมขั้นตอนและแผนเดินทางอเมริกา 17 วัน (อเมริกา, แชงเก้น, อังกฤษ)

  1. ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากครับ ติดตามครับ ได้ภาพเสียงและบรรยากาศด้วย🥰🤗

    Like

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s