
เมื่อคืนหลับแบบลืมโลก เข้าห้องปุ๊ปโยนทุกอย่างออกจากตัว ล้มตัวลงนอน สงบคาเตียงเลย ตื่นมาปวดหัวนิดหน่อยสงสัยเพลียแดดจากเมื่อวาน

ที่พักของเราชื่อ kyoto-ya hotel อยู่ใกล้ถนนใหญ่ และ มีรถไฟผ่าน มีออนเซ็นด้วยนะเธอ ที่โรงแรมมีบริการรถรับส่งที่สถานที่ท่องเที่ยวในเมือง แต่ต้องบอกทางโรงแรมล่วงหน้า (ส่งอย่างเดียวไม่รับกลับนะคะ)
อาหารเช้านี้เป็นเซ็ทอาหารญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมไข่ออนเซ็น และ นัตโตะ (ถั่วหมักแบบญี่ปุ่น เป็นอาหารแนะนำของที่นี่ มีกลิ่นนิดหน่อยไม่เหม็นมาก มียางหนึบๆ เหมือนใส่ชีสแต่เปล่า ถั่วล้วนๆ รสชาติคล้ายๆถั่วเขียวต้มนิดๆ คนๆให้เข้ากันราดซอส มัสตาส และ โชยุ ตามชอบ โป๊ะลงไปบนข้าวสวยร้อนๆ ตักเข้าปาก โอ้วววว!!! สุโค่ย กินไป 2 คำ อร่อยดี แต่กินหมดไม่ไหวมันหนึบๆ เค้าบอกว่ากิน ยูกิกับซุมิซังบอกว่า คุณได้มาถึงญี่ปุ่นแล้ว 555)


หลังทานอาหารเสร็จแอบไปเดินสำรวจรอบๆโรงแรมมาเค้าบอกแถวนี้มีออนเซ็นขนาดใหญ่ให้ไปแช่ด้วย เจอคนญี่ปุ่นกำลังขุดเจาะถนนอย่างขมักเม้น อ้าวๆๆๆเห้ยมีน้องมินิคูเปอร์ด้วยเว้ยเห้ย น่ารักน่าชังเชียว หูสีแดงเด่นมาแต่ไกล


เจ้าหนูบอกหน่อยว่าหนังหน้าแบบพี่เนี๊ยะ คิดว่าอายุเท่าไหร่ ” 23 ฮับ” แอร๊ยๆๆๆๆ จริงหรา มามะมาจุบทีนึง (ป่าวหรอกน้องไม่ได้พูด มโนล้วนๆ 555)

กลับมาที่โรงแรมรอรถออกรอบ 8.50 น. โดยที่แรกที่เราจะไปในวันนี้คือ Ramon Gate at Takeo onsen แหล่งออนเซ็นในตำนาน เค้าบอกว่าการสร้างตึกนี้ตอนแรกกะจะสร้าง 3 ตึก แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด จึงสร้างได้ไม่ครบ ตึกสีแดงโดดเด่นยืนอยู่ที่ไหนก็เห็น บนเพดานมีสัญลักษณ์ฮวงจุ้ยที่บอกทิศ เช่นอันนี้เป็นสัญลักษณ์รูปหัวใจ



จากนั้นแวะชมห้องแช่ออนเซ็นชั้น 1 เป็นอ่างขนาดใหญ่ต้องลงไปข้างล่าง ในสมัยโบราณคนญี่ปุ่นเค้าจะยืนแช่น้ำไม่ได้นั่ง พอแช่เสร็จก็ขึ้นไปชั้น2 ไปนอนพักตากอากาศให้ผ่อนคลาย สบายอุรา


“ร้านอะไรอ่ะ” เฮ้ย!!! เราได้ใส่กิโมโนด้วยเว้ยเห้ย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใส่ มาทุกครั้งนี่เดินเที่ยวอย่างเดียวเลยไม่มีโอกาสได้ใส่ โดยชุดที่เราใส่เป็นชุดยูกาตะ (Yukata) เนื้อผ้าจะบางกว่าชุดกิโมโน เนื่องจากคนญี่ปุ่นนิยมใส่ในหน้าร้อน กว่าจะใส่ได้นี่กระบวนการหลายขั้นตอนมาก อุปกรณ์เยอะมาก รัดแน่นพุง เอาค่ะๆ รัดแน่นๆจะได้ผอมๆ ยูกิบอกว่า ตรงปลายจะมีที่ใส่ของคนญี่ปุ่นเวลาใส่ชุดนี้ก็จะเก็บของไว้ด้านใน เผื่อขี้เกียจแบกกระเป๋าไปด้วย
เมื่อเด็กดอยใส่ชุดกิโมโน


เสร็จแล้ว รอทำผมรับปริญญา เค้ามีให้เลือกทรงผมอยู่ 2 แบบ คือแบบยกสูง กับ แบบต่ำ เราเลือกแบบต่ำ เพราะกลัวว่ายกสูงแล้วจะเปิดเหม่งมากไปไม่ดีแน่ๆ 555
เราสามคนพร้อมแล้วที่จะไปลุยแล้ว เราต้องเดินแบบกุลสตรี ก้าวทีละนิดๆ ยกมือขวาโบกสะบัดราวดั่งนางงามจักรวาล บนถนนที่แทบจะไม่มีคนเดินมีแต่พวกเรา เรา และเรา
เดินมานิดนึงก็ถึงศาลเจ้ายูโตกุ เดินชมรอบๆ ราวกับว่าเป็นคนญี่ปุ่น ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ(Yutoku Inari Shrine) สร้างขึ้นในปี 1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ประจำตระกูลนาเบะชิมะ(Nabeshima clan) ผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ



ที่นี่นับว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยามที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง และ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ส่วนหน้าศาลเจ้าก็ยังมีสะพานสีแดงคู่กับแม่น้ำสายเล็กๆเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามเลยทีเดียว




ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชาชนต่างนิยมไปสักการะขอพรเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยว ความสำเร็จด้านธุรกิจ และความปลอดภัย
ไปกันต่อที่ อุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนการิ(Yoshinogari Historical Park) ที่นี่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์มาก เพราะมีมาตั้งแต่ยุคยาโยอิ(Yayoi) เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับโลกเพื่อให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนยุคโบราณของญี่ปุ่น มีโมกิเป็นกำแพงคล้ายดินสอ ตรงประตูด้านบนมีรูปนกเกาะอยู่ แสดงถึงในกรณีที่ฤดูเปลี่ยนนกจะมาจับที่นี่ โดยคว้าหมวกคนละไปก่อนออกเดินทาง เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อน




ที่นี่เป็นหมู่บ้านของผู้นำมีบ้านประมาณ 22 หลัง แต่ละหลังอยู่กันประมาณ 7 คน หมู่บ้านแห่งนี้อายุยืนยาว 2,000 ปี บริเวณรอบๆ มีที่ทำหน้าที่ปลูกข้าว ปลูกผัก เพื่อส่งส่วยมาให้หมู่บ้านผู้นำ หน้าหนาวที่นี้หิมะตกแล้วสวยอย่าบอกใคร (เค้าว่าอย่างนั้น)




เดินๆอยู่นี่นึกว่าเดินอยู่กรุงเทพอากาศร้อน ฝ้าขึ้นแน่นอนไม่ต้องถามหาแต่วิวสวย “ยอม”
วิวจากบนหอคอยชั้น 2 ที่สามารถชมวิวได้โดยรอบ


แวะ Former Nagasaki Highway มาชิมชาแบบดั้งเดิม และ ขนมอาสะซะกุ สีชมพูปั้นมือที่ทำจากถั่วใช้วัตถุช้ันดีในการทำถือว่าเป็นบุญปากอย่างมาก โดยการชงชาต้องรอเวลา 1.30นาที แล้วชิม รอบสองใช้แค่30 วิเองอ่ะ เราไม่เข้าใจเหมือนกันเพราะกินไป 3 ก็ไม่ต่างกันมากเท่ไหร่





เข้าที่พัก Washington Hotel

ส่วนอาหารมื้อเย็นนี่ไม่ต้องพูดถึงอร่อยทุกมื้อตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย แต่รอบนี้พิเศษได้ชิมเหล้าผสมเลมอนด้วย อร่อยดีชอบ ที่ร้าน Sumitora restaurant กินแหลก แดกตลอดทริปเลยก็ว่าได้



วิสกี้ผสมเลมอน รสชาติดี ใช้ได้

เอ้า Cheer


ต่อด้วยการชมแสงไฟ SAGA Night of light การแสดงเริ่ม 2 ทุ่ม นิดๆ โดยเป็นการฉายแสงบนกระจก แปลกดี สวย น่าดู ฟรีมิเสียตังแต่อย่างใด ซึ่งฉันก็ลืมเอาขาตั้งกล้องมาเช่นเคย เพลียกับตัวเองมาก เฮ้อ!!! ภาพก็เป็นอย่างที่เห็น




ก่อนกลับปิดท้ายด้วยไอศครีมเจ้าอร่อยที่ร้านด้านบนตึกเลย ฟินมาก นมเข้มข้น อั้ม โอ๊ววว!!ในราคา 500 เยน


แถมไอติมยี่ห้อนี้ก็เป็นของกินแนะนำที่นี่เช่นกัน ตามไปฟินกันได้

จบทริปอีกวันที่กินอิ่มตลอดวัน และ เที่ยวมันตลอดทริป เราเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่าซากะไม่น่ามีอะไรเที่ยว เป็นเมืองเล็กๆ แต่พอได้มาสัมผัสแล้วรูสึกว่าที่นี่มีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะ 3 วันสำหรับที่นี่มันไม่พอด้วยซ้ำ เมืองเล็กๆแห่งนี้เราเชื่อว่าถ้าคุณได้มา คุณจะต้องชอบเหมือนที่เราชอบเช่นกัน
“ไปเที่ยวซากะกันเถอะ”
ความเดิมตอนที่ 1
http://atravelerblog.com/saga-travel-story-ตอนที่-1-karatsu-วิวอย่างปัง/
ความเดิมตอนที่ 2
http://atravelerblog.com/saga-travel-story-ตอนที่-2-imari-arita-takeo-kyotoya/
ตอนนี้ทาง SAGA มีเล่นเกมชิงตั๋วเครื่องบินไป-กลับ SAGA 2 ที่นั่ง ตอบคำถามง่ายๆ คลิ๊กเล่นเกมเลย!!! ตั๋วฟรีนะ
http://www.asobo-saga.jp/th/campaign/index.html
ไปคุยกันนะ
Facebook: https://www.facebook.com/atravelerblog/
IG: A_Traveler_Blog
Twitter: A Traveler Blog
